TAIA Meets the Press

วันที่ 4 เม.ย. 67 : สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชน หัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” โดยมองแนวโน้มตลาดยานยนต์ปี 2567 ว่าเติบโตต่อเนื่องตามเศรษฐกิจไทยจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ

IMG 4603 2 TAIA สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
IMG 4602 1 TAIA สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เผยว่า “ในปี พ.ศ. 2567 คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวม 1.9 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.17% โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 7.5 แสนคัน และการผลิตเพื่อส่งออก 1.15 ล้านคัน และสำหรับรถจักรยานยนต์ คาดการณ์การผลิตที่ 2.12 ล้านคัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 0.03% 

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2567 แบ่งเป็น 3 ด้าน

  1. ภาวะทางเศรษฐกิจ 
  • ภาระหนี้สินภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและหนี้เสีย (NPLs) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผล กระทบโดยตรง​ต่อ​อำนาจ​ซื้อ​ของ​ประชาชนที่​ลดลงและยอดการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศ
  • สถานการณ์ความเข้มงวดของการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากมูลค่า  และแนวโน้มหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น
  • รถยนต์มือสองราคาตก เนื่องจากปริมาณซัพพลายล้นตลาด
  • ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและยาวนาน เช่น ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน

2. นโยบายและกฎระเบียบด้านยานยนต์

  • การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับ ยูโร 5 ทั้งรถยนต์และน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคารถยนต์และน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
  • มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV 3.0, EV 3.5 และ มาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ รถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Bus & E-Truck) โดยให้บริษัทนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าเพื่อมาใช้งาน สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 
  • การมุ่งสู่สังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality Society) ภายในปี พ.ศ. 2593 ตามที่รัฐบาลได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ในการประชุมสมัชชาประเทศว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP 26 ที่สกอตแลนด์เมื่อปี 2564 โดยมีการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด และพ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

3. การค้าระหว่างประเทศ

  • ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศแล้วจำนวนทั้งสิ้น 15 ฉบับ 19 ประเทศคู่ค้า และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 5 ฉบับ โดยมีฉบับสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เช่น ข้อตกลงการค้าไทย-ยุโรป, ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA), ไทย-เกาหลีใต้
  • มาตรการกีดกันทางการค้า (Non Trade Barrier) เช่น มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) คาดว่าจะบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป โดยเป็นการกำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ที่นำเข้าไปยังประเทศออสเตรเลีย ทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะ

สำหรับอนาคตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ในไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดจดทะเบียนรวม 1 – 1.2 แสนคัน และส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง จากการตระหนักถึงความสำคัญของการลดภาวะโลกร้อนโดยการใช้รถไฟฟ้าจากประชาชนชาวไทย รวมถึงมาตรการการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ  นอกจากนี้นายสุวัชร์ยังกล่าวเสริมว่า “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาอย่างยาวนาน สร้าง Supply Chain และ Value Chain ที่เข้มแข็ง ครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากดังนั้น การรักษาฐานการผลิตรถยนต์สันดาปไว้ จึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกทั้งสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการสร้างสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้ตามโนบาย “เป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2050” ของรัฐบาลผ่านนโยบายต่างๆ เช่น 30@30 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้และการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ปี 2569เพื่อส่งเสริมรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น”

Facebook
Email

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ